เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒ ธ.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูด เห็นไหม ของจริงมันไม่หิวไม่โหย ถ้ามันหิวโหยมันเป็นสมมุติสัจจะ สัจจะที่เกิดขึ้นเป็นสมมุติสัจจะนะ ดูการตลาดสิ ประชาสัมพันธ์สมมุติสัจจะทั้งนั้นนะ เป็นความจริงไหม? เป็น เป็นเพราะเราประชาสัมพันธ์ขึ้นมา เราสร้างข้อมูลขึ้นมา เราต้องการให้มันเป็นไปตามการคอนโทรลของเรา เห็นไหม มันเป็นจริงไหม เป็น แต่พิสูจน์ได้ทั้งนั้นแหละเป็นวิทยาศาสตร์ นี่ทุกอย่างเป็นวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ ก็พิสูจน์ได้สิ เราเป็นคนทำมากับมือทำไมพิสูจน์ไม่ได้ มันเป็นสมมุติสัจจะ สัจจะนี้เป็นสมมุติสัจจะ

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลึกกว่านั้น เชื่อเรื่องกรรม “ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว” แต่ความดีขึ้นมา ดูสิ อย่างเราทำความดีกันนะ แล้วความดีจะตอบสนองเราเมื่อไหร่ ชาวพุทธเราทุกคนเลยนะ ทำบุญกุศลกันมากนะ ทำไมไม่เห็นตอบสนองเราสักทีๆ ก็แล้วถ้าเราไม่ทำมันจะไปขนาดไหน ที่เราทำความดีขึ้นมานี่มันเป็นแกนเลยล่ะ มันเป็นแกนของใจเลยล่ะ ถ้าใจเรามีความมั่นคง ใจเราทำคุณงามความดี ดูสิ ให้เขากล่าวโทษมา ให้เขาโจมตีมา อย่างไรก็แล้วแต่ มันพิสูจน์ได้ทั้งนั้นแหละ ถ้าจะพิสูจน์นะ แต่พิสูจน์ขึ้นมา นี่ไงความจริงมันอยู่ตรงนี้ไง

แต่สิ่งที่กว่าความจริงมันจะเกิดขึ้นมานี่ ดูสิ วุฒิภาวะของคนมันไม่เหมือนกัน ดูสิ เด็กๆ นี่ เด็กๆ มีอะไรให้มันมันก็พอใจแล้ว ยิ่งตบมือให้ ๒ ที เห็นไหม ทำความดีตบมือให้แปะๆ อู้ย ดีใจแล้ว หัวเราะกันครึกครื้นเลย ก็ไอ้แค่ตบมือให้เด็กๆ มันก็พอใจแล้ว นี่ความดีของอย่างนี้เหรอ เป็นความดีของโลกเหรอ ความดีของเรา ความดีเราทำขึ้นมามันพิสูจน์กันด้วยความรู้สึกไง ดูสิ เราเห็นนักบริหาร เห็นไหม เขาบริหารได้ถูกต้อง เขาทำอย่างนี้ถูกต้อง มันจะซึ้งใจเราเลย เขาตัดสินใจได้ถูกต้อง เขาทำได้ถูกต้อง เห็นไหม แล้วถูกต้องสบตาเท่านั้นเอง สบตา โอ้! เห็นด้วย เห็นด้วย เห็นด้วยเหมือนกัน มันเกิดความถูกต้องจากภายใน เห็นไหม

นี่สัจจะ-อริยสัจจะ นี่สมมุติสัจจะมันก็เป็นสมมุติสัจจะ สมมุติสัจจะเป็นของโลกๆ นะ เราอย่าไปติดมัน ต้องอยู่กับเขานะ เพราะโลกมันขับเคลื่อนด้วยพลังงานอย่างนี้ไง โลกมันขับเคลื่อนไปด้วยสมมุติสัจจะ โลกมันขับเคลื่อนไปด้วยการตลาด โลกมันขับเคลื่อนไปอย่างนั้น เราต้องอยู่กับเขาเพราะเราอยู่กับโลกใช่ไหม เพราะปัจจัยเครื่องอาศัยเราต้องใช้มัน

นี่ถ้าอยู่กับโลกแล้วนี่เรามีอีกอันหนึ่ง เห็นไหม กายกับใจมันเป็นวัตถุ เป็นสิ่งที่จับต้องได้ แต่ด้วยความรู้สึกล่ะ ถ้าความรู้สึกก็เป็นหัวใจของเรา แล้วความคิดเราก็เป็นวัตถุอันหนึ่งนะ ความคิดมันเกิดดับ ความคิดมันเป็นวัตถุอันหนึ่ง ถ้าความคิดไม่เป็นวัตถุอันหนึ่งนะ ปรมัตถจิต ทำไมรู้ความคิดล่ะ ทำไมเห็นความคิดล่ะ เทวดายังรู้เราคิดอะไรเลย เทวดาจะเห็นความเป็นไปของเราเลย เพราะอะไร เพราะมันรูปเป็นทิพย์ เห็นไหม ความคิดนะรูปเป็นทิพย์ นี่เราคิดว่าความคิดนี้ไม่มีใครรู้กับเรานะ เราคิดออกมานี่มันจับต้องได้ ดูสิทางการแพทย์เห็นไหม คลื่นหัวใจคลื่นไฟฟ้าเขาจับได้ เวลาความคิดขึ้นมาคลื่นมันขึ้น กราฟมันขึ้นหมดล่ะ พอกราฟมันขึ้นร่างกายมันทำงานแล้ว เห็นไหม

นี่ไงความคิดมันเกิดมาจากใจ ถ้าใจมันสงบเข้ามาล่ะ ใจมันสงบเข้ามามันไม่มีความคิดเลย ในตัวมันเองมันเป็นอิสระของมันเอง เห็นไหม นี่แค่เป็นสมาธินะ ถ้าเรากำหนดสมาธิอยู่คลื่นไฟฟ้ามันจะจับเราได้ไหม คลื่นสมองมันไม่ทำงาน มันอยู่ของมันโดยธรรมชาติของมัน นี่แค่ความสงบเข้ามานะ นี่พูดถึงวัตถุจากข้างนอกวัตถุจากข้างใน เพราะวัตถุจากข้างในทำให้เราทุกข์มาก เพราะเราคิดของเราขึ้นมาไง วัตถุจากข้างนอกมันเป็นสิ่งหยิบยื่นให้กันได้ เวลาจะสละทานขึ้นมาก็หยิบยื่นให้กันได้ แต่ความคิดเวลามันเกิดขึ้นมา ลูกของเรา เด็กของเรานะ เวลามันคิดมันต่อต้านเรา เห็นไหม ดูสิ มันเรียกร้องตามสบายของมัน เวลามันพูดกับเรามันเป็นความไร้เดียงสา มันกลับน่ารักน่าชังนะ เวลาไร้เดียงสามันพูดออกมานี่ผู้ใหญ่ยังได้สติเลย คิดมามันแทงใจเราเลย เห็นไหม

แต่ถ้าเป็นอวิชชามันไม่ใช่การน่ารักน่าชังนะ มันไม่ใช่การไร้เดียงสา มันเป็นตัณหาความทะยานอยาก ถ้าสิ่งที่เป็นตัณหาความทะยานอยากมันมีเล่ห์กล ถ้ามีเล่ห์กลเราไม่พอใจแล้ว สิ่งนี้มันดูไม่น่าสวยงามเลย เพราะมันเป็นเล่ห์กล เห็นไหม แล้วเล่ห์กลอย่างนี้มันเกิดจากไหน เกิดมาจากใจเรา แล้วใจเราเป็นวัตถุ เห็นไหม แสดงออกมาเป็นสภาวะแบบนั้น

แล้วทำให้สงบเข้ามาล่ะ นี่สัจจะ-อริยสัจจะ เพราะอะไร เพราะทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค สัมมาสมาธิมันเป็นอริยสัจ มันเป็นความจริง แล้ววิมุตติมันกลั่นออกไปจากอริยสัจ สิ่งที่กลั่นออกจากอริยสัจ เวลาการกระทำมันทำอย่างไร “กิจจญาณ” การที่เราจะมีความจริงขึ้นมานี่ มันมีกิจจญาณ มันมีการกระทำของใจไหม ถ้าใจไม่มีการกระทำของมันเลย ไม่มีมรรคญาณ ไม่มีสัมมาสมาธิ ไม่มีสติ ไม่มีปัญญาขึ้นมาเกิดจากความรู้สึกเราเลย แต่ความรู้สึกขึ้นมามันเป็นมิจฉามรรค มันเป็นความคิด มันเป็นความต้องการ มันเป็นตัณหาความทะยานอยาก มันเป็นสมุทัย

ที่มันคิดขึ้นมานี่มันเป็นวัตถุ วัตถุที่ทำให้เราเดือดร้อนมันเป็นสมุทัย สมุทัยมันเกิดจากไหน มันเกิดจากอวิชชาออกจากใจของเรา นี่วัตถุที่เป็นนามธรรม วัตถุที่เป็นความคิดไง ถ้าเราทำให้มันสงบเข้ามา สงบเข้ามามันก็เป็นสมาธิใช่ไหม เราทำงานของเราอีกอันหนึ่งเห็นไหม นี่ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร ปัญญารอบรู้ในความคิดของเรา คิดดีคิดชั่วมันยังละอายใจเลย นี่หิริ-โอตตัปปะ ความคิดละอายแก่ใจ ใจมันคิดออกไปสิ่งที่ไม่ดี เห็นไหม นี่มันมีความสุขตรงนี้ไง ศาสนามันเจริญที่นี่นะ วัตถุนี่ต้องตั้งงบบำรุงรักษาเลย เสร็จแล้วต้องตั้งงบไว้เลยว่าจะต้องบำรุงรักษากี่ปี ต้องบำรุงรักษา เห็นไหม

แล้วร่างกายของเราที่เกิดก็เหมือนกัน สมมุติสัจจะเกิดมาชีวิตหนึ่ง มันต้องบำรุงรักษามัน มันเจ็บไข้ได้ป่วยต้องบำรุงรักษามัน แล้วมันก็ตายไป แต่นามธรรมยังอยู่ แล้วนามธรรมมันไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม นามธรรมนี้มันก็เป็นวัตถุอันละเอียดไง มันเป็นทิพย์ไง แล้วเวลาเราทำลายจนสะอาดหมด ความเป็นทิพย์นี้มันก็ไม่มี นี่เวลาพระอรหันต์ ๖๑ องค์ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “เธอพ้นจากบ่วงที่เป็นทิพย์และบ่วงที่เป็นโลก” บ่วงที่เป็นโลกคือตัณหาความทะยานอยาก บ่วงที่เป็นทิพย์คือผลตอบสนองจากบุญกุศล มันพ้นจากบ่วงอันนี้ไป

นี่วิมุตติสุข วิมุตติอันนี้มันเหนือสมมุติอะไรต่างๆ สมมุติสัจจะนะ มันเป็นสมมุติสัจจะ กรรมให้ผล เราต้องเชื่อเรื่องของกรรม ถ้าเชื่อเรื่องของกรรม เราทำแต่คุณงามความดีของเรา ผลอันนี้ ดูสิ ฝนตกแดดออก พระอาทิตย์ขึ้นมันชั่วคราว เห็นไหม นี่ชีวิตก็ชั่วคราว ความเห็นก็ชั่วคราว กระแสสังคมมันชั่วคราวนะ นี่เราทำความดีของเรา กระแสสังคมถึงจุดหนึ่งมันต้องพิสูจน์กันได้ ความดีคือความดี เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒,๐๐๐ กว่าปีทำไมคนเขาถึงนับถือล่ะ กลิ่นของศีลหอมทวนลมนะ กลิ่นของคุณงามความดีของเรา

ในปัจจุบัน ดูสิ สิ่งที่เวลาประวัติศาสตร์มันผ่านไปแล้วเขามานั่งวินิจฉัยกัน เห็นไหม ไม่ควรเป็นอย่างนั้นเลย ไม่ควรเป็นอย่างนั้นเลย เพราะอะไร เพราะสิ่งใดทำแล้วเสียใจภายหลัง สิ่งนั้นไม่ดีเลย สิ่งที่ไม่ดีเพราะเราทำไม่มีสติสัมปชัญญะนี่ไง แล้วปัจจุบันธรรมมันเกิดจากไหน ปัจจุบันธรรมก็เกิดจากเราที่เรามาอดออมกันอยู่นี่ ถือศีลประพฤติปฏิบัติกันอยู่นี่ มาอดออม มายับยั้งตัวเอง มาให้เห็นความคิดของตัวเอง สิ่งที่มีคุณค่าที่สุดคือความหัวใจของมนุษย์ สิ่งที่มีคุณค่าที่สุดคือความรู้สึกของเรา แล้วความรู้สึกของเรามันมีอวิชชาปิดอยู่ไว้ชั้นหนึ่ง แล้วโดยสมมุติสัจจะที่เขาสร้างกระแสกันแล้วไปกับเขานี่ ไร้สาระมากเลย

แต่ไร้สาระ จุดยืนของเราเห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้กันที่ไหน ตรัสรู้ที่โคนต้นโพธิ์ เขาว่าอย่างนั้นนะ แต่ตรัสรู้ตรงหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่างหากล่ะ เพราะโคนต้นโพธิ์นั้นเด็กเลี้ยงควายมันก็ไปนอนเล่นที่นั่นเหมือนกัน นี่เด็กเลี้ยงควาย คนที่เขาไปพักกลางทางเขาก็พักร่มไม้ชายคาเหมือนกัน แล้วเขาได้อะไรขึ้นมาล่ะ หัวใจของเขาก็เป็นหน้าที่การงานของเขาใช่ไหม เขาเลี้ยงวัวเลี้ยงควายของเขามันเป็นประโยชน์ของเขา เขาดูแลสัตว์เลี้ยงของเขา เขาได้ผลประโยชน์ของเขา เขาเอาแต่ส่งออกจากภายนอก

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนกลับจากภายใน สิ่งที่สัมผัสจากภายนอกขึ้นมานี่ ดูสิ สถานะกษัตริย์ก็สละทิ้งมาแล้ว จะได้เป็นกษัตริย์ก็สละทิ้งมา แล้วออกประพฤติปฏิบัติมันก็ส่งออกทั้งหมดเลย แล้วย้อนกลับมา มรรคญาณมันทวนกระแสกลับมาเห็นไหม คนคนหนึ่งอยู่โคนต้นโพธิ์เหมือนกัน บุคคลคนหนึ่งอยู่โคนต้นโพธิ์เป็นมหาบุรุษเพื่อชำระกิเลส บุคคลคนหนึ่งอยู่โคนต้นโพธิ์นั้นเพื่อพักร่มเงา สิ่งที่จะตรัสรู้ที่โคนต้นโพธิ์นั่นเป็นกิริยาจากภายนอก แต่ถ้าตรัสรู้จริงๆ คือตรัสรู้ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

นี่ก็เหมือนกัน เราปฏิบัติที่ไหน ปฏิบัติที่ใจของเรา จะอยู่กุฏิ จะอยู่ร้าน จะอยู่บ้าน จะอยู่ห้องพักอะไร สิ่งนั้นเป็นเครื่องอาศัยวัตถุทั้งนั้นล่ะ แต่หัวใจของเราต่างหากย้อนกลับมาที่นี่ คุณค่ามันอยู่ที่นี่ เพียงแต่เราขับเคลื่อนไปตามกระแสของมัน ขับเคลื่อนไปตามความรู้สึกของเรา เราต้องวนไปตามความรู้สึกอย่างนี้ ความรู้สึกอันนี้มันเป็นไป มันเป็นไปด้วยอวิชชา ไม่เข้าใจ เห็นไหม ถ้าเข้าใจอย่างนี้นะ เราเชื่อกรรม เชื่อบุญกุศล เชื่อของเรา เราทำ แรงเสียดสีมันมีแน่นอน แต่เราจะทนกับแรงเสียดสีนี้ไปได้ แล้วถึงที่สุดนะเพราะสิ่งนี้มันของชั่วคราว กาลเวลามันสั้นมาก กาลเวลาของเทวดา อินทร์ พรหม เห็นไหม ๑๐๐ ปีของเราเท่ากับเขา ๑ วัน นี่มันยื่นยาวกว่า เสวยสุขมากกว่า แล้วถึงที่สุดมันเวียนว่ายเวียนเกิด

ถึงที่สุดทำลายวัตถุภายใน ทำลายความคิด เอาความคิดทำลายความคิด ถ้าความคิดทำลายความคิดมันต้องเป็นมรรคญาณ เอากิเลสทำลายความคิดมันเพิ่มตัณหาความทะยานอยาก เพิ่มทิฏฐิมานะ เพิ่มความอหังการขึ้นมานะ ความเพิ่มอหังการความรู้สึกภายในมันเพิ่มอหังการขึ้นมานี่มันเป็นทุกข์กับเรานะ ดูสิ เวลาเรายืนด้วยปลายเท้าพยายามจะให้ตัวเองสูงขึ้นไป กับยืนด้วยเต็มฝ่าเท้ามันต่างกันไหม นี่ความคิดมันพยายามยกตัวเองขึ้น ทิฏฐิมานะยกตัวเองขึ้นแล้วมันทุกข์ไหม มันทุกข์ทั้งนั้นล่ะ แล้วปิดบังไว้ ทุกข์มาก

แต่ถ้าเป็นสัจจะความจริงนะ มือเราสะอาด ทุกอย่างสะอาดขึ้นมา นี่ความจริง ผลของกรรม กรรมจะให้สภาวะแบบนี้ นี่ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำดีต้องได้ดีแน่นอน แต่! แต่มันมีกรรมเก่ากรรมใหม่ การสะสมกันมา การเป็นไปอย่างนี้ เห็นไหม อจินไตย กรรมเป็นอจินไตยอันหนึ่งเลยล่ะ แล้วเราเกิดขึ้นมาเป็นญาติกันโดยธรรม เกิดมามีปากมีท้องเหมือนกัน เกิดมาต้องการปัจจัย เครื่องอาศัยเหมือนกัน เหมือนกันทั้งหมดเลย แต่ความคิดคนไม่เหมือนกัน คนเหมือนคนแต่คนไม่เหมือนกัน เห็นไหม คนเหมือนคนแต่ความคิดคนไม่เหมือนกัน คนๆ หนึ่งคิดดี คนๆ หนึ่งเมตตากรุณา บางคนคิดเอาเปรียบเบียดเบียนเขา คิดแต่ความเห็นของตัว เห็นไหม

นี่คนเหมือนคน กับคนไม่เหมือนคน นี่วุฒิสภาวะของใจสำคัญมาก ถ้าวุฒิภาวะของใจไม่สำคัญมากนะ เวลาประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม จริตนิสัย นี่ขิปปาภิญญานั่งทีเดียวเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเลย นี่แล้วเราถูเราไถกันไปเห็นไหม นี่ปฏิบัติเหมือนกัน เวลาปฏิบัติเหมือนกัน นั่งเหมือนกัน ทำเหมือนกัน มันไม่เหมือนกันเพราะจากภายใน จากภายในเพราะอะไร เพราะจากการกระทำมา แล้วปัจจุบันนี้เรากำลังทำอยู่ เรากำลังมีสติสัมปชัญญะอยู่ เราทำของเรา เราจะฝืนกระแสสังคม ฝืนกระแสของสมมุติสัจจะ มันสร้างภาพกันขึ้นมา มันไม่เป็นความจริง ความจริงของเรามันพิสูจน์ได้

ฟังเขาพูดแล้วดูเขาทำ ดูเราคิดแล้วดูเราทำ เราคิดขึ้นมาอยากนั่งปฏิบัติ แล้วเราทำได้อย่างความคิดเราไหม เวลามีความคิดดีขึ้นมาอยากจะพ้นจากกิเลส อยากจะต่อสู้กับกิเลส แล้วเวลาการกระทำของเรานะมันสมกับความคิดของเราไหม ฟังเขาพูดแล้วดูเขาทำ นี่ดูความคิดแล้วดูการกระทำแล้วทำความจริงขึ้นมานี่มันจะเป็นประโยชน์กับเรา เห็นไหม

นี่กรรมให้ผลอย่างนี้ สัจจะความจริงอย่างนี้มันเป็นสันทิฏฐิโก ใครทำอย่างไรได้อย่างนั้น ใครทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แล้วทำดีอันละเอียดขึ้นมานี่ เราทำอยู่ที่โคนไม้ ทำอยู่ในป่า เห็นไหม ดูสิ ครูบาอาจารย์เราอยู่ในป่าในเขา นี่แล้วปัจจุบันนี่เชิดชูศาสนาแค่ไหน นี่ก็เหมือนกัน ความลับในหัวใจของเรา ความคิดในหัวใจของเรา เราพยายามรักษาของเรา แล้วเราแก้ไขของเรา มันสะอาดจากในนี้นะ ถ้าในนี้สะอาดข้างนอกต้องสะอาด ถ้าในนี้ไม่สะอาด มันมีเล่ห์กลของมัน เห็นไหม

นี่ ศีล ศีลสะอาดบริสุทธิ์ เผชิญกับสิ่งใดก็เผชิญได้ นี่พอเราเที่ยวป่าเขามานะ สัตว์ขนาดไหนก็แล้วแต่ ไม่เคยมีคาถาอะไรเลย เอาศีลบริสุทธิ์นี่ เอาสตินี่เข้าสู้ จะเผชิญมาขนาดไหนเราเอาตัวรอดมาได้ เห็นไหม นี่เพราะความสะอาดของใจไง ถ้ามันมีกรรมต่อกันให้มันเอาไปเลย เสียสละทั้งหมด เสียทั้งหมดเลย ไม่หวังสิ่งใดในหัวใจเอาไว้เป็นของเรา เห็นไหม ถ้าเราไม่มีต้นทุนไม่มีสิ่งใดเลย เราจะไปติดอะไร ไม่ติดอะไรเลย

แต่ถ้าเราได้ประสบการณ์ขึ้นมา นี่ยิ่งสละยิ่งได้ ยิ่งปล่อยวางเท่าไหร่ ยิ่งจะเป็นคุณสมบัติของเรา เห็นไหม คุณสมบัติไอ้นี่ไม่ต้องมีตู้เซฟใส่ ไม่ต้องมีอะไรใส่ แล้วมันจะอยู่ในหัวใจยิ่งมหาศาลนะ บุพเพนิวาสานุสติญาณสาวอดีตชาติไปไม่มีที่สิ้นสุด ข้อมูลไม่มีที่สิ้นสุดแล้วมันอยู่ในหัวใจ มันแปลกประหลาดมหัศจรรย์มาก แล้วมันอยู่กับทุกๆ คน ทุกดวงใจมีหมดเลย จักรวาลคือหัวใจอันนี้ เพราะมีหัวใจนี้ถึงมีจักรวาล มีทุกอย่างหมด แล้วอยู่กับเราทำไมไม่ดูแลรักษา ทำไมไม่ขวนขวาย ทำไมไม่เอามาตีแผ่ แล้วจะได้ประโยชน์กับเรานะ ของที่มีคุณค่าที่สุดคือหัวใจของมนุษย์ หัวใจของเรานี่ที่เราถนอมรักษามัน เอวัง